กีวีฟรุต

กีวี หรือ กีวีฟรุต (Kiwifruit) กีวี ชื่อวิทยาศาสตร์ : Actinidia chinensis เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ต่อมามีผู้นำไปปลูกที่ประเทศนิวซีแลนด์และได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ทำให้กีวีมีรสชาติดีมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดและยังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกีวีตามชื่อของนกกีวีที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ (เดิมมีชื่อว่า Chinese gooseberry)



สำหรับประเทศไทยมีการนำเข้ามาปลูกเมื่อปี พ.ศ.2519 โดยปลูกมากที่จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอ่างขาง และดอยขุนวาง โดยกีวีเป็นผลไม้ที่มีผลลักษณะรีรูปไข่ มีขนเล็ก ๆปกคลุมอยู่ทั่วผล มีเนื้อสีเขียว (แต่บางสายพันธุ์จะมีสีเหลือง) รสเปรี้ยวอมหวาน ชุ่มน้ำ เป็นผลไม้ที่เก็บไว้ได้นานถึงสองสัปดาห์ถ้าเก็บอย่างเหมาะสม (ในตู้เย็น)

กีวียังจัดเป็นผลไม้อันดับต้น ๆ ของผลไม้ลดความอ้วนอีกด้วย เพราะมีไฟเบอร์จำนวนมากที่ทำให้อิ่มเร็วและนาน สำหรับผู้ที่มักรับประทานอาหารระหว่างวันเป็นประจำหรือเป็นเพราะความหิว กีวีช่วยได้แน่นอน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเนื่องจากกีวีเป็นผลไม้ที่มีรสหวานแล้วแบบนี้รับประทานเข้าไปมาก ๆ มันจะไม่อ้วนเหรอ ? ก็ต้องบอกว่าไม่อ้วนแน่นอนเพราะกีวีน้ำหนัก 60 กรัมจะให้พลังงานเพียง 25 แคลอรีเท่านั้น ! ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ

กีวี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด อย่างเช่นวิตามินเอ ซี อี เค บี 1 บี 2 บี 3 บี 6 บี 9 แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม สังกะสี แมงกานีส เป็นต้น โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินสูงมาก เพราะการรับประทานกีวีเพียง 1 ลูก (100 กรัม) จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีมากถึงร้อยละ 155 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน และนอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยโอเมก้า-3 อีกด้วย ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นอย่างมากสำหรับร่างกาย เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้

วิธีกินกีวี กีวีกินยังไง ? ก็ง่ายสุด ๆ เพียงแค่นำผลมาตัดครึ่งแล้วใช้ช้อนตักเนื้อกีวีกินได้เลย หรือถ้าอยากทำให้สวยน่ารับประทานยิ่งขึ้นซึ่งเป็นอีกวิธีที่ง่ายเหมือนกัน ก็คือนำผลกีวีมาตัดหัวตัดท้ายออก แล้วใช้ช้อนคว้านเนื้อเป็นวงกลม เมื่อได้เนื้อมาก็นำมาสไลซ์เป็นแผ่น ๆ เป็นอันเสร็จ สำหรับวิธีดูว่ากีวีพร้อมที่จะรับประทานได้แล้วหรือยัง ก็คือผลของกีวีจะเริ่มนุ่ม คุณก็สามารถรับประทานได้เลย เมื่อซื้อมาแล้วก็อย่าลืมเก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าหากไม่อยากให้ผลไม้กีวีสุกมากกว่านี้ก็แค่เก็บไว้ในตู้เย็นจะสามารถเก็บไว้ได้นานถึง 1-2 สัปดาห์

สรรพคุณของกีวี
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น
กีวี่เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับยาก กีวีจะช่วยให้คุณหลับง่ายและสบายมากขึ้น
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
โพแทสเซียมจากกีวีช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจวาย
โฟเลตจากกีวีช่วยในเรื่องการแบ่งตัวของเซลล์ใหม่ จำเป็นอย่างมากสำหรับมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ทารกจะมีความพิการทางสมองและระบบประสาทหากขาดโฟเลต และเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์
ซิงค์จากกีวี เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการใช้สร้างฮอร์โมนเพศชาย
ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยป้องกันฟันผุ กีวีจะช่วยลดอนุมูลอิสระเหล่านี้ได้
ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเส้นใยประสาท
ช่วยซ่อมแซมเซลล์ DNA ที่ถูกทำลายจากกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกายของเราได้
ควรรับประทานกีวีพร้อมหรือหลังอาหาร หากอาหารมื้อนั้นมีไขมัน
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
กีวีสีทองสามารถทำให้ร่างกายต่อสู้กับโรคไข้หวัดใหญ่ได้ดี
ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
ไฟเบอร์ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยป้องกันโรคท้องผูก ช่วยให้ขับถ่ายอย่างสะดวกและสม่ำเสมอ
ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
ช่วยบรรเทาอาการอักเสบต่าง ๆ ในร่างกาย


ประโยชน์ของกีวี่
มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยชะลอวัยและการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
มีวิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยทำให้โครงสร้างผิวมีความแข็งแรง บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
มีส่วนช่วยลดจุดด่างดำใต้ผิว แก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ
เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะการรับประทานกีวีช่วยให้อิ่มเร็ว ทำให้ไม่อ้วน
เป็นผลไม้ที่มีโอเมก้า-3 ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้
ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย
สาร “โพลีฟีนอล” ในผลกีวีมีคุณสมบัติช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง
ใช้แต่งหน้าเค้กและสลัดต่าง ๆ
การนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ผลไม้กระป๋อง กีวีกวน กีวีตากแห้ง น้ำผลไม้ ไวน์ ผลไม้แช่แข็ง
คุณค่าทางโภชนาการของผลกีวีเขียว ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 61 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 14.66 กรัม
น้ำตาล 8.99 กรัม
เส้นใย 3.0 กรัม
ไขมัน 0.52 กรัม
โปรตีน 1.14 กรัม
วิตามินบี 1 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.025 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 3 0.341 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.183 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 6 0.063 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 9 25 กรัม 6%
โคลีน 7.28 กรัม 2%
วิตามินซี 92.7 มิลลิกรัม 112%
วิตามินอี 1.46 มิลลิกรัม 10%
วิตามินเค 40.3 ไมโครกรัม 38%
ธาตุแคลเซียม 34 มิลลิกรัม 3%
ธาตุเหล็ก 0.31 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม 5%
ธาตุแมงกานีส 0.098 มิลลิกรัม 5%
ธาตุฟอสฟอรัส 34 มิลลิกรัม 5%
ธาตุโพแทสเซียม 312 มิลลิกรัม 7%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.14 มิลลิกรัม 1%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

คุณค่าทางโภชนาการของผลกีวีทอง ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 60 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 14.23 กรัม
น้ำตาล 10.98 กรัม
เส้นใย 2 กรัม
ไขมัน 0.56 กรัม
โปรตีน 1.23 กรัม
วิตามินบี 1 0.024 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 2 0.046 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 3 0.28 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.5 มิลลิกรัม 10%
วิตามินบี 6 0.057 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี 9 34 กรัม 9%
โคลีน 5 กรัม 1%
วิตามินซี 105.4 มิลลิกรัม 127%
วิตามินอี 1.49 มิลลิกรัม 10%
วิตามินเค 5.5 ไมโครกรัม 5%
ธาตุแคลเซียม 20 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.29 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 14 มิลลิกรัม 4%
ธาตุแมงกานีส 0.058 มิลลิกรัม 3%
ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโพแทสเซียม 316 มิลลิกรัม 7%
ธาตุโซเดียม 3 มิลลิกรัม 0%
ธาตุสังกะสี 0.10 มิลลิกรัม 1%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)

วิธีทำน้ำกีวีปั่น
รสเปรี้ยวของกีวีเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ แต่ถ้ามันเปรี้ยวเกินไปก็คงจะไม่อร่อย เราจึงต้องผสมน้ำเขียวเข้มข้นและน้ำองุ่น เพื่อให้มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อยและรสชาติกลมกล่อม ชื่นใจ
กีวีปั่นวิธีทำอย่างแรกให้เตรียมวัตถุดิบดังนี้ กีวีที่ใช้ปั่น 2 ผล / กีวีสไลซ์สำหรับตกแต่งหน้า / น้ำองุ่น 1½ ถ้วยตวง / น้ำเขียวเข้มข้น 3 ช้อนโต๊ะ / น้ำแข็ง
นำกีวี 2 ผลที่ได้มาปอกเปลือกเหลือแต่เนื้อแล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ
นำกีวีที่ปอกเปลือก น้ำองุ่น น้ำเขียวเข้มข้น ใส่ลงไปในโถปั่น
ปั่นพอละเอียด ก็จะได้น้ำกีวี (จะใส่น้ำแข็งลงไปในโถปั่นเลยก็ได้)
หลังจากนั้นนำมารินใส่แก้วพร้อมน้ำแข็ง
ตกแต่งหน้าเล็กน้อยด้วยกีวีสไลซ์เพื่อความสวยงามและเพื่อให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น (ตกแต่งหรือไม่ก็ได้)
เสร็จแล้วน้ำกีวีปั่นฝีมือของคุณ
โทษของกีวี ในบางรายอาจมีอาการแพ้ได้ เพราะผลไม้กีวีมีเอนไซม์ชนิดพิเศษซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของอาการแพ้ได้ แต่อาการแพ้ดังกล่าวถือว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ๆ หรือแทบไม่มีเลย แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้กีวีสีเขียว คุณอาจจะไม่มีปัญหาหรือมีอาการแพ้กีวีสีทองก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ควรสอบถามแพทย์ก่อนที่จะรับประทาน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้