บทความ

กีวีฟรุต กีวี หรือ กีวีฟรุต (Kiwifruit) กีวี ชื่อวิทยาศาสตร์ : Actinidia chinensis เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ต่อมามีผู้นำไปปลูกที่ประเทศนิวซีแลนด์และได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ทำให้กีวีมีรสชาติดีมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดและยังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกีวีตามชื่อของนกกีวีที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ (เดิมมีชื่อว่า Chinese gooseberry) สำหรับประเทศไทยมีการนำเข้ามาปลูกเมื่อปี พ.ศ.2519 โดยปลูกมากที่จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอ่างขาง และดอยขุนวาง โดยกีวีเป็นผลไม้ที่มีผลลักษณะรีรูปไข่ มีขนเล็ก ๆปกคลุมอยู่ทั่วผล มีเนื้อสีเขียว (แต่บางสายพันธุ์จะมีสีเหลือง) รสเปรี้ยวอมหวาน ชุ่มน้ำ เป็นผลไม้ที่เก็บไว้ได้นานถึงสองสัปดาห์ถ้าเก็บอย่างเหมาะสม (ในตู้เย็น) กีวียังจัดเป็นผลไม้อันดับต้น ๆ ของผลไม้ลดความอ้วนอีกด้วย เพราะมีไฟเบอร์จำนวนมากที่ทำให้อิ่มเร็วและนาน สำหรับผู้ที่มักรับประทานอาหารระหว่างวันเป็นประจำหรือเป็นเพราะความหิว กีวีช่วยได้แน่นอน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเนื่องจากกีวีเป็นผลไม้ที่มีรสหวานแล้วแบบนี้รับประทานเข้าไปมาก ๆ มันจะไม่อ้วนเหรอ ? ก็ต้องบอกว่าไม่อ้วนแน่นอนเพราะกีวีน้ำ
การปลูกมะละกอฮอลแลนด์    แนะนำการเพาะต้นกล้า . เตรียมดิน โดยใช้ ดินร่วน + แกลบดำ อัตรา 2:1  หรือดินร่วนระบายน้ำดีๆ พวก ดินขุยไผ่ หรือดินโคนมะขามที่มันร่วนๆ ใส่ถุงดำ ไม่เอาดินเหนียว ไม่เอาดินซื้อที่ผสมขุยมะพร้าว การแช่เมล็ดมี 2 วิธี ครับ  ( น้ำที่ใช้ ต้องผ่านการต้มให้เดือดก่อนเพื่อฆ่าเชื้อนะครับ ) วิธีแรก นำเมล็ดแช่น้ำอุ่น แล้วปล่อยไว้ให้น้ำเย็นทิ้งไว้ 2 คืนแล้ว นำเมล็ดที่ลอยและกึ่งจมกึ่งลอยทิ้งไป ควรแช่ด้วย สารป้องกันเชื้อราเช่น ไตรดคเดอร์มา หรือเมทาแล็กซิล ก่อนสัก 5 -10 นาที นำเมล็ดที่แช่ห่อด้วยผ้าชุ่มน้ำหมาดๆ  ใส่กระติกน้ำปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 4-6 วัน เมล็ดจะเริ่มแตกออก ไม่ควรให้เมล็ดงอกยาวเกินไป วิธีที่สอง นำเมล็ดแช่น้ำอุ่น แล้วปล่อยไว้ให้น้ำเย็นทิ้งไว้ 2 คืน เปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวัน นำเมล็ดที่ลอยและกึ่งจมกึ่งลอยทิ้งไป (ไม่ต้องเสียดาย ใส่เมล็ดเผื่อไปให้แล้ว) วิธีนี้ข้อดีคือสะดวกคนปลูก ข้อเสียคือต้นจะขึ้นไม่ค่อยเสมอกันสู้การบ่มไม่ได้ นำเมล็ดที่แช่ไว้ นำมาเพาะลงถุง โดยใส่ ถุงละ 3 -4 เมล็ดกลบไม่ต้องลึก เอาแค่พอรดน้ำแล้ว เมล็ดไม่กระเด็นหายจากถุงพอ ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ก็พอ รดน้ำทุกว
น้อยหน่า (Custard Apple/Sugar Apple) จั ดเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่นิยมบริโภคเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีเนื้อนุ่ม หอมหวาน และให้เนื้อมาก นอกจากนั้น ส่วนอื่นๆของน้อยหน่า อาทิ เมล็ด ใบ เปลือก ราก และลำต้น ยังสามารถนำมาใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรค รวมถึงการใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรได้หลายทาง advertisement น้อยหน่า เป็นไม้ทรงพุ่มขนาดเล็ก มีถิ่นกำเนิดในแถบร้อนของทวีปอเมริกากลาง นำเข้ามาปลูกในประเทศแถบเอเชียครั้งแรกโดยชาวสเปน และชาวโปรตุเกส ส่วนในประเทศไทยมีการนำเข้าน้อยหน่าครั้งแรกในสมัยลพบุรี ปัจจุบันการ ปลูกน้อยหน่าในประเทศไทยมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน และมีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาคกลาง เรียก น้อยหน่า ภาคตะวันออก เรียก นอแฟ, มะนอแฟหรือมะแฟ ภาคอีสาน เรียก มักเขียบ ภาคใต้ เรียก น้อยแน่ ลาหนัง (ปัตตานี) ชื่ออื่นๆ เตียม, น้อยแน่, มะลอแน่, มะออจ้า ส่วนประเทศเขมรเรียกน้อยหน่าว่า เตียบ เนื่องจากการปลูก น้อยหน่านิยมใช้เมล็ด จึงทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้ง่าย น้อยหน่าในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 พันธุ์ใหญ่ๆ ได้แก่ พันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์ฝ้าย และพันธุ์น้อยหน่าหนัง มีแหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ นครร
"เงาะ" สรรพคุณ-ประโยชน์ ผลไม้มีคุณค่า มากเกินตัว หากลองนึกย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเด็กว่า ผลไม้ชนิดแรกที่เรารู้จักกันนั้นคืออะไร เชื่อว่าต้องมีไม่น้อยเลยที่บอกว่าคือ "เงาะ" เพราะเป็นผลไม้ที่คนส่วนใหญ่นิยมกินกันมากและมีวางขายอยู่ทั่วไปในช่วงฤดูกาล ลักษณะภายนอกของผลเงาะมีขนขึ้้นตามเปลือกที่มีสีแดงๆ และยังเป็นผลไม้โปรดของหลายคน ด้วยเนื้อข้างในของเงาะมีรสชาติที่หวาน กรอบ และอมเปรี้ยวนิดๆ นอกจากนี้ทุกคนก็คงคิดไม่ออกแล้วว่าเงาะจะมีอะไรที่พิเศษไปกว่าความอร่อย แต่รู้หรือไม่ว่า สรรพคุณและประโยชน์ของเงาะเรียกว่าใหญ่เกินตัวเลยทีเดียว มารู้จัก "เงาะ" ผลไม้หวาน กรอบ อร่อยๆ กันเถอะ "เงาะ" มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า (Rambutan) และต้องบอกว่าเงาะถือเป็นผลไม้เมืองร้อน และเป็นพืชเศรษฐกิจที่หลายพื้นที่ในประเทศไทยนิยมปลูก ไม่เพียงเฉพาะจังหวัดจันทบุรี หรือเขตภาคตะวันออก ภาคใต้เท่านั้น ภาคเหนือก็มีการปลูกเงาะกันมากขึ้น เนื่องจากเงาะนอกจากอร่อยได้ด้วยการทานสดแล้ว ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นเงาะกระป๋อง ไวน์เงาะ และไอศครีมได้อีกด้วย ชนิด และพันธุ์ของเงาะ จริงๆ แล้วเงา
“กะปิ” เครื่องปรุงรสพื้นบ้าน แหล่งสารอาหารทรงคุณค่า มีอาหารหลายอย่างที่จะขาดเครื่องปรุงรสชื่อว่า “กะปิ” ไปไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะการปรุงน้ำพริก น้ำจิ้ม ปรุงแกง หรือเพื่อช่วยปรุงรสในกับข้าวต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความอร่อยให้แก่อาหารจานนั้นแล้ว หากเป็นกะปิมีคุณภาพ ผลิตมาจากวัตถุดิบชั้นดี และสดสะอาดก็จะให้กลิ่นหอมชวนกินมากขึ้น กะปิไม่ได้มีประโยชน์เพียงเท่านี้ แต่มีสารอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงด้วย  กะปินั้นเป็นเครื่องปรุงที่ได้รับความนิยมมากในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศไทยเองที่มีความคุ้นเคยกับเครื่องปรุงชนิดนี้กันดี “กะปิ” ทำมาจากอะไร? วัตถุดิบหลักในการทำกะปิก็คือ “ตัวเคย” หรือ “กุ้งเคย” เป็นสัตว์น้ำจำพวกแพลงก์ตอน รูปร่างคล้ายกุ้งแต่ขนาดเล็กกว่า ความยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร เปลือกบางและนิ่ม สีขาวใส ตาสีดำ ไม่มีกระดูกสันหลังและไม่กรีแหลมๆ บริเวณหัว มักอาศัยใกล้บริเวณผิวน้ำไม่ลึกมาก สามารถมองเห็นได้ง่าย ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงตามชายทะเลและลำคลองป่าชายเลน เมื่อเรามีตัวเคยซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญแล้ว ต่อมาก็เป็นกรรมวิธีการทำกะปิ ซึ่งจะอาศัยหลักการคล้ายกับการทำน้ำ
รูปภาพ
16 สรรพคุณ...ประโยชน์ของข้าวโพด ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง ผิวพรรณสดใส ในบรรดากลุ่มคนที่รักษ์สุขภาพต้องทราบถึงคุณประโยชน์ของ “ข้าวโพด” ที่มีต่อสุขภาพกันเป็นอย่างดีแน่นอน เพราะนอกจากจะมีสารอาหารมากมายซึ่งทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันและรักษาโรคได้หลากหลายชนิด แถมช่วยดูแลพร้อมกับการบำรุงผิวพรรณให้สวยสดใสอีกด้วย “ข้าวโพด” ธัญพืชสรรพคุณดี มากคุณค่าสารอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ เกริ่นกันมาแค่นี้ก็คงพอกระตุ้นให้หลายๆ คนเริ่มจะอยากทำความรู้จักถึงสรรพคุณและประโยชน์ของข้าวโพดกันให้มากขึ้นแล้วล่ะสิ ข้าวโพดนั้นจัดอยู่ในกลุ่มของธัญพืชซึ่งประกอบไปด้วยคุณค่าของสารอาหารนานาชนิด ประโยชน์ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลยก็คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีอยู่ในข้าวโพดมีความสามารถในการจัดการปัญหาของผิวพรรณที่อาจถูกทำร้ายจากมลพิษต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ให้ผิวสวยใส อ่อนเยาว์ นอกจากนี้ข้าวโพดมีสรรพคุณสำคัญที่จะช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง และรักษาโรคมะเร็งได้ดีไม่แพ้ผักผลไม้ชนิดอื่นๆ ซึ่งมีงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศถึง
รูปภาพ
18 สรรพคุณ...ประโยชน์ของสับปะรด ชิ้นเดียว ก็ต้านโรคได้ เวลาไปเดินตลาด เดินห้าง หรือเดินผ่านรถเข็นขายผลไม้ตามข้างทาง แล้วสังเกตดีๆ จะพบว่า "สับปะรด" มักเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีวางขายอยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะสับปะรดออกผลให้เราได้กินตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องรอตามฤดูกาล และยังจัดเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพไม่น้อยเลย ซึ่งนอกจากจะกินได้แบบสดๆ แล้ว ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง สับปะรดกวน แยมสับปะรด หรือปรุงเป็นอาหารก็ได้รสชาติที่อร่อยถูกปากหลายคนทีเดียว แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่ค่อยชอบผลไม้ชนิดนี้เท่าไร แม้ว่าสับปะรดมีรสหวานฉ่ำแต่ก็มีรสฝาดอยู่เล็กน้อย เมื่อกินเยอะๆ จะรู้สึกได้ แต่ทราบหรือไม่ว่า สรรพคุณ และประโยชน์ของสับปะรดนั้น เรียกว่าเป็นยารักษาโรคได้เป็นอย่างดี แม้เราจะทานเพียงแค่วันละชิ้นเดียว น่าทึ่งใช่ไหมค่ะ งั้นเราไปดูกันว่า สรรพคุณ ประโยชน์ของสับปะรดมีอะไรบ้าง ​สับปะรด...มากประโยชน์ สรรพคุณครบครัน แค่เรากินสับปะรดเพียงวันละ 1 ชิ้นก็ช่วยดูแลสุขภาพในช่องปากได้แล้ว อาทิ อาการเสียวฟัน หรือเลือดออกตามไรฟัน เพราะวิตามินซีที่มีอยู่มากนั่นเอง แถมอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ และแร่ธา